วันอังคารที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2553

วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เคล็ดลับ : วิธีเร่งผมให้ยาวเร็ว


1.ออกกำลังกายให้เส้นผม เร่งสปีดความเร็วให้ เร่งผมยาว เร็วแบบติดเทอร์โบด้วยการก้มศีรษะให้เลือดไปเลี้ยงที่ศีรษะค้างไว้สัก 30 วินาที ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาทำเช่นนี้ทุกวัน เลือดจะไหลเวียนไปเลี้ยงเส้นผมที่ศีรษะ ทำให้เส้นผมแข็งแรงและยาวเร็วขึ้นด้วย


2.เพิ่มโปรตีน Lee Stafford ช่างทำผมคนดังของเกาะอังกฤษแนะว่า โปรตีนสามารถปกป้องและซ่อมแซมเส้นผม ช่วยลดการหลุดร่วงและการแตกหักของเส้นผม ทำให้เส้นผมแข็งแรง และยาวเร็วขึ้นได้


3.กินปลา Richard Ward กล่าวไว้ว่า ปลา พืชผักใบเขียว และบลูเบอรี่เป็นแหล่งอาหารที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ฉะนั้นบริเวณใดก็ตามในร่างกายที่มีเลือดไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงได้ดีจะทำให้ ร่างกายบริเวณนั้นแข็งแรง มีชีวิตชีวารวมไปถึงเส้นผมบนศีรษะด้วย


4.เคยนวดศีรษะกันบ้างไหม Phillip Kingsley เปิดเผยให้ฟังถึงศาสตร์ของการนวดศีรษะว่า การนวดศีรษะจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตบนศีรษะ และทำให้ระบบเมตาโบลิซึ่ม ทำงานได้อย่างเป็นปกติ และยังจะช่วยทำให้เส้นผมเติบโตเร็วขึ้น การนวดศีรษะอาจทำได้ด้วยตัวเองที่บ้านในขณะสระผม โดยการใช้นิ้วมือกดและนวดไปตามจุดบนศีรษะอย่างเบามือ


5.แปรงให้ถูก หลีกเลี่ยงการทำให้เส้นผมขาดและหลุดร่วงด้วยการไม่หวีผมขณะยังเปียกอยู่ เลือกใช้หวีซี่ใหญ่และห่างในการหวีผมช่วงผมเปียกแทน


6.ตัดผมบ้าง อาจจะเคยได้ยินมาบ้างว่าการเล็มผมบ่อยๆ จะช่วยให้ผมยาวเร็วขึ้น การเล็มผมนอกจากจะทำให้ผมยาวเร็วขึ้นแล้วถือว่ายังเป็นการกำจัดผมแตกปลายไป ในตัวด้วย รู้อย่างนี้แล้วก็หมั่นให้ช่างเล็มผมก็จะดีไม่ใช่น้อย


7.ต่อผมก็ได้ สำหรับ สาวใจร้อนที่ทนรอให้ผมยาวไม่ได้หรืออาจมีภารกิจสำคัญที่จำเป็นเร่งด่วนที่จะ ต้องไว้ผมยาวภายใน 1 วัน ให้ลองมองหาร้านทำผมที่มีบริการต่อผมดู ให้เลือกใช้บริการร้านต่อผมที่ค่อนข้างมีประสบการณ์สักนิดก่อนที่คิดจะต่อผม

เคล็ดลับง่ายๆ ของดวงตาสดใส




ถ้าคุณมีดวงตาที่ดูเหนื่อยล้าจากการอดนอน และไม่อยากให้ใครเห็นความหม่นหมองนั้น คุณก็ควรหาคอนซีลเลอร์ดีๆ มาพกติดกระเป๋าไว้ เพราะถ้าคุณรู้วิธีใช้คอนซีลเลอร์เพื่อปิดรอยคล้ำใต้ตาแล้วล่ะก็ ดวงตาของคุณก็จะดูเหมือนได้นอนมาเต็มอิ่มตลอดทั้งคืน



และนี่คือเคล็ดลับง่ายๆ ที่จะช่วยให้ดวงตาของคุณดูสดใสซะยิ่งกว่านอนมาเต็มตื่นซะอีก นั่นก็คือ หลังจากคุณทาคอนซีลเลอร์เรียบร้อยแล้ว ก็แต้มผลิตภัณฑ์เพิ่มความสว่างเรืองรองชนิดน้ำลงในบริเวณใต้ตาเล็กน้อย แล้วเกลี่ยออกไปทางหางตา เลยขึ้นไปจนถึงใต้คิ้ว สารสะท้อนแสงอ่อนๆ ในผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ จะช่วยสะท้อนแสงออกไปจากผิวของคุณ ส่งผลให้ดวงตาดูสดใสขึ้น จนไม่มีใครจับได้ว่าคุณอดหลับอดนอนไปทำอะไรมาเมื่อคืนนี้

วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2553

เตือนภัย : กาแฟไม่ได้ช่วยลดความอ้วน


ทางเลือกของคนที่ต้องการลดน้ำหนักในปัจจุบันมีอยู่มากมายหลายทาง “กาแฟลดน้ำหนัก” ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ปัจจุบันมีหลายคนหันมานิยม เนื่องจากเป็นวิธีการที่ง่าย สะดวก และค่าใช้จ่ายน้อย แต่ทราบรึเปล่าว่า จริงๆ แล้วการดื่มกาแฟลดน้ำหนักก็มีข้อเสียเหมือนกัน


โดยข้อเท็จจริงดังกล่าวทางคณะกรรมการอาหารและยา ได้เปิดเผยว่าปัจจุบันพบการโฆษณาผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูปจำนวนมากอวดอ้างสรรพคุณว่ามีผลในการลดน้ำหนัก ซึ่งเป็นการกล่าวอ้างและโอ้อวดสรรพคุณเกินจริงเพื่อจูงใจให้ซื้อผลิตภัณฑ์


โดยขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลการศึกษาวิจัยทางวิชาการยืนยันว่าสารดังกล่าวมีผลในการลดน้ำหนักหรือทำให้ผิวสวยหรือเพิ่มความงามแต่อย่างใด ในทางกลับกันหากดื่มมากอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ โดยน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นนั้นอาจเกิดจากการเติมน้ำตาล ครีม หรือนมในกาแฟ อีกทั้งทำให้หัวใจทำงานหนัก เนื่องจากได้รับกาเฟอีนมากเกินไป โดยเฉพาะในหากร่างกายของคนที่มีความไวต่อกาเฟอีน และที่ร้ายไปกว่านั้นบางคนอาจได้รับอันตรายจากการเจือปนของยาบางชนิดที่ลักลอบใส่ในผลิตภัณฑ์ เช่น ยาไซบูทรามีน จะทำให้เกิดผลข้างเคียง คือ ปวดศีรษะ ปากแห้ง นอนไม่หลับ ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็วขึ้น เป็นต้น

ดังนั้นการที่จะบริโภคกาแฟลดน้ำหนักอย่างถูกวิธีและปลอดภัย ควรมีการปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อความปลอดภัย และที่สำคัญควรที่จะศึกษารายละเอียดของผลิตภัณฑ์ที่จะบริโภคให้ละเอียดรอบคอบให้ดีก่อนว่าได้รับการรับรองถูกต้องตามหลัก อย. หรือไม่ และเมื่อบริโภคแล้วจะมีผลกระทบใดเกิดขึ้นกับร่างกายบ้าง

4 หนุ่มต้องห้าม กับการคบเป็นแฟน



ใครที่กำลังจะคบ 4 หนุ่มนี้ ต้องคิดดีๆนะคะ


1. แฟนเก่าเพื่อนซี้ : ถึงเค้าจะเลิกกันแล้วก็ไม่ควร คุณคิดว่า ถ้าคุณคบกับเค้า แล้วเพื่อนซี้คุณยังจะคบคุณเหรอ มิหนำซ้ำ อาจจะโดนมองว่า เป็นมือที่3ก็ได้ และเพื่อนๆในกลุ่ม คงไม่ปล่อยให้คุณ มีความสุขกับเค้าหรอก


2. เพื่อนซี้แฟนเก่า : เลิกกันทั้งที่ฝากรอยแค้นไว้ โดยการคบกับเพื่อนซี้สุดๆ ที่เค้าคบกันมาตั้งแต่อนุบาล ถ้าใครคิดจะทำ ล้มเลิกความคิดซะมันไม่ดีเลย อยากให้ถามตัวเองว่า นอกจากความสะใจแล้ว ยังได้อะไรอีกไหม นอกจากการที่ต้องคบกับคนที่ไม่ได้รัก แล้วคุณอาจเป็นตัวกลาง ให้เพื่อนเค้าเลิกคบกันก้อได้


3. เพื่อนชายสุดซี้ : การที่เปลี่ยนจากเพื่อนรัก มาเป็นคนรักข้อดีมันก็อยู่ตรงว่า เรารู้ใจกันและกันดี ข้อเสียมันก็มี คือ คุณ2คน ยังมีความรู้สึกแบบเดิม คือ เป็นเหมือนพี่น้อง ถ้าจะให้มาทำโรแมนติกใส่กัน มันคงเป็นไปไม่ได้ และสุดท้ายความรักของคุณ ก็จะไม่สมหวัง และถ้าเลิกกันแล้ว ก็อาจมองหน้ากันไม่ติดเช่นเดิม


4. เจ้านายตัวเอง : ถ้าคิดอยากอยู่อย่างมีความสุข ควรเอาผู้ชายคนนี้ขึ้นบัญชีดำไว้เลย แรกเริ่มคือทุกคนในที่ทำงาน เค้าจะนินทาได้ว่าจับเจ้านายเพื่อไต่เต้า แต่ถ้าปิดเงียบ ก็หาว่ามีป๋าดัน และสุดท้าย คุณก้อต้องเสียทั้งงานและคนที่คุณรักด้วยตอนแรกเราอาจจะคิดว่าไม่เป็นไร แต่ตอนเลิกกันนี่สิ จะมองหน้ากันติดรึเปล่า ไม่มีคนปลอบ แถมมีคนซ้ำเติมอีกต่างหาก

มาเปลี่ยนภาพลักษณ์ (เสียๆ) กันซะทีเถอะ

แทนที่จะเสียเวลาไปกับการแก้ตัวเมื่อได้ยินเพื่อนร่วมงานแสดงความคิดเห็นต่อตัวคุณในเชิงลบ ลงมือทำอะไรสักอย่างให้เขาเห็น เพื่อที่จะเปลี่ยนความคิดของพวกเขาเกี่ยวกับตัวคุณไปในทางที่ดีขึ้นดีกว่า


1) คนอื่นมองว่าคุณขี้เกียจ- เริ่มต้นสร้างสรรค์ = รับผิดชอบมากขึ้น ทำงานมากกว่าภาระหน้าที่ในขอบเขตของคุณ - แสดงความสำเร็จ = อย่าคุยโว แต่ควรสอดแทรกคำขอบคุณ ผุ้อื่นลงในบทสนทนา- สังเกตท่าทางของตัวเอง = กระตือรือร้น และกระฉับกระเฉง อยู่เสมอ


2) คนอื่นมองว่าคุณไม่เป็นมืออาชีพ- จงมีมารยาทเสมอ = เมื่อคุณทำตัวให้น่าเคารพและสุภาพ จะทำให้คนอื่นไม่กล้าที่จะตำหนิคุณ- ยอมรับคำวิจารณ์ = การเปิดรับความคิดเห็นและคำวิจารณ์อย่างสร้างสรรค์ เป็นสัญญาณของความเป็นมืออาชีพ- กลั่นกรองคำพูด = คิดให้ดีก่อนพูด ไม่ว่าคุณจะโกรธ แค่ไหนก็ควรระวังคำพูด- ระวังภาพลักษณ์ = แต่งตัวอย่างเหมาะสม และพูดจาให้ดีเสมอ


3) คนอื่นมองว่าคุณสายเสมอ- ตรงต่อเวลา = ตื่นให้เช้าขึ้น และถึงที่ทำงานก่อนเวลาเข้างาน- วางแผนล่วงหน้า = เตรียมพร้อมและทำตามรายการของสิ่งที่ต้องทำ


4) คนอื่นมองว่าคุณชอบเล่นไม่ซื่อ- จงซื่อสัตย์ = ระมัดระวังสิ่งที่คุณเสนอแนะ ไม่ชี้แนะแนวทางในการขโมยความคิดของผู้อื่น- แสดงความมีเกียรติ = หลีกเลี่ยงการกระทำที่ถูกมองว่าฉกฉวยผลประโยชน์จากบริษัท- จงรับผิดชอบ = ถ้าทำผิด ก็ยอมรับซะ แทนการโทษคนอื่น และแก้ตัว


5) คนอื่นมองว่าคุณทำงานเป็นทีมไม่เป็น- จงเป็นมิตร = จำชื่อและรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ของคนอื่น ใครๆ ก็ชอบที่ตนเองมีความสำคัญ- ทำตัวให้วางใจได้ = อย่าอ้างความคิดของเพื่อนร่วมงานเป็นของตนเอง และให้เครดิตผู้อื่น ช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานถ้าทำได้

เตือนภัย วัยรุ่นไทยกับขนตาปลอม


แฟชั่นขนตาปลอมที่กำลังได้รับความนิยมในขณะนี้ กระทรวงสาธารณสุขออกมาเตือน ขนตาปลอมอาจเป็นแหล่งสะสมสิ่งสกปรก และอาจทำให้ดวงตาติดเชื้อรุนแรงถึงขั้นตาบอดได้นายแพทย์ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยถึงกระแสแฟชั่นใส่ขนตาปลอม กำลังเป็นที่นิยมของวัยรุ่น เพื่อเสริมบุคลิกสร้างความมั่นใจให้ดูดี มีเสน่ห์ ตากลมโต


ซึ่งการนำสิ่งแปลกปลอมมาติดที่ขนตา นับว่าเสี่ยงอันตรายต่อนัยน์ตา เป็นตัวทำลายดวงตาทางอ้อม เนื่องจากอาจทำให้เกิดสิ่งสกปรกมาสะสมบริเวณหนังตา ขนตาแต่ละเส้นจะมีต่อมไขมันและต่อมเหงื่อ ช่วยผลิตไขมันและน้ำไปหล่อเลี้ยงดวงตา เพื่อเคลือบกระจกตาให้ชุ่มชื้น แต่เมื่อนำสิ่งแปลกปลอมไปติด ก็จะเกิดการระคายเคือง และเมื่อเวลาดึงขนตาปลอมออก กาวที่ติดขนตาก็จะถูกดึงออกมาพร้อมขนตาจริงด้วย


ยิ่งทำบ่อยครั้งจะกระทบต่อขนตาและต่อมไขมัน หรือต่อมเหงื่อ ส่งผลให้ตาอักเสบ แพ้ ระคายเคืองขั้นรุนแรง จนอาจถึงขั้นตาบอดได้เรื่องของการเก็บเก็บรักษาก็ต้องระมัดระวังเรื่องของฝุ่นละออง และสิ่งสกปรกด้วย เพราะอาจทำให้ติดเชื้อได้เช่นกัน ที่ผ่านมามีวัยรุ่นหลายรายที่ติดขนตาปลอมแล้วเกิดการระคายเคืองอักเสบ ใช้เวลารักษานานหลายเดือน จึงฝากเตือนให้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน ก่อนใส่ขนตาปลอมต้องล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง ทำความสะอาดขนตาปลอมทุกครั้งเมื่อนำมาใช้ซ้ำ และไม่ควรใช้ขนตาปลอมร่วมกับผู้อื่น หรือไม่ควรติดขนตาปลอมติดต่อกัน

เตือนภัย"อีเมล์"ลวงโลก





กสิกรฯ เตือนภัย"อีเมล์"ลวงโลก


ธนาคารกสิกรไทยออกประกาศเตือนภัยกลุ่มมิจฉาชีพไฮเทค ใช้กลลวงประเภท "ฟิชชิ่ง" จัดทำเว็บไซต์และอีเมล์ปลอม ต้มตุ๋นลูกค้ากสิกรที่ใช้บริการ K-Cyber Banking


รายงานข่าวจากกสิกรไทยระบุว่า ขณะนี้มีอีเมล์หลอกลวงจากมิจฉาชีพส่งถึงบุคคลทั่วไป โดยแจ้งว่าบัญชีของท่านมีปัญหา หรือธนาคารมีการพัฒนาระบบรักษาความปลอดภัยใหม่ และร้องขอให้ท่านทำรายการ/แก้ปัญหาด้วยการคลิกลิงก์ในอีเมล์ดังกล่าว ซึ่งจะเชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์ปลอม ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับหน้าจอ K-Cyber Banking ทุกประการ แต่ URL หรือที่อยู่เว็บไซต์ไม่ใช่ของธนาคาร เช่น greenmonsterarts.co.uk, ad-park.com/catalog/Access หรือชื่ออื่นๆ ที่อาจจะมีชื่อคล้ายคลึง URL ของธนาคาร


"ธนาคารขอย้ำว่าไม่มีนโยบาย ส่งอีเมล์ที่มีลิงก์ให้ท่านคลิกเพื่อเข้าสู่ระบบใดๆ หรือสอบถามข้อมูลส่วนตัวใดๆ ผ่านทางอีเมล์ หากท่านต้องการเข้าสู่ระบบ K-Cyber Banking หรือระบบใดๆ ของธนาคาร ท่านจะต้องใช้ Shortcut (Favorite) ท่านสร้างด้วยตนเองหรือพิมพ์URL ด้วยตัวท่านเองเท่านั้น หากท่านได้กรอกข้อมูลลงไปใน Websiteปลอมแล้ว กรุณาติดต่อ K-Contact Center 0-2888-8888 โดยด่วน เพื่อเปลี่ยนรหัสลับ หรือรีบอายัดบัญชี" ธ.กสิกรไทย แถลง


จาก ธนาคารกสิกรไทย

5 วิธีคิดอย่างคนเก่ง


คนเก่งไม่ใช่มาจาก พันธุกรรม หรอก แต่อยู่ที่การฝึกขัดเกลาสมองต่างหาก วันนี้ เกร็ดความรู้ มี 5 วิธีคิดอย่างคนเก่งมาฝากกัน...


1. มองโลกในแง่ดี และทำทุกสิ่งอย่างเต็มกำลังด้วยรอยยิ้มและความเบิกบาน ทำตัวให้สดชื่นมีชีวิตชีวาและกระตือรือร้นอยู่เสมอ พร้อมที่จะเผชิญกับทุกสถานการณ์ จะช่วยให้คุณสามารถจัดการกับทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามา ได้อย่างอยู่มือ


2. มีศรัทธาในตัวเอง จงเชื่อมั่นในความเก่งของคุณ อยากให้ใคร ๆ เขาชื่นชอบและทึ่งในตัวคุณ คุณก็ต้องมั่นใจตัวเองก่อน


3. ขอท้าคว้าฝัน ไม่มีอะไรที่จะทรงพลังมากเท่ากับความตั้งใจจริงและทุ่มสุดตัว จะเป็นแรง ผลักดันที่จะทำให้คุณสานฝันสู่ความจริงได้


4. ค้นหาบุคคลต้นแบบ ใครก็ได้ที่คุณชื่นชมเพื่อเป็นมาตรฐานที่ดีในการดำเนินรอยตาม ศึกษาแนวคิด วิธีการทำงาน จุดเด่นในตัวเขา แล้วอาจนำมาปรับใช้ให้เข้ากับชีวิตได้บ้าง


5. เริ่มต้นงานใหม่ทุกวันด้วยรอยยิ้มสดใส คนที่มีรอยยิ้มระบายไว้บนใบหน้า เสมือนประตูที่เปิดกว้าง ให้ใคร ๆ อยากเข้ามาคบหาด้วย การเจรจา ติดต่องานก็มักจะลงเอยด้วยความสำเร็จ


นอกจากนี้ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ยังสร้างความเบิกบานและคลายทุกข์ แถมยังเป็นยาอายุวัฒนะชั้นดีอีกด้วย

คนที่กำลังเสียใจ ร้องให้ ต้องอ่าน !!




คนที่กำลังเสียใจ ร้องให้ ต้องอ่าน
เคยมีบทนิยาม ที่เคยอ่านในอินเตอร์เน็ต... ว่าไม่เคยมีใครไม่เคยร้องให้ในโลกนี้ คุณก็เช่นกัน... ขึ้นอยู่ กับว่าเหตูผลแห่งความเสียใจนั่นคืออะไร...


บางคนอกหัก-- บางคนรักเค้าข้างเดียว บางคนท้อแท้ และบางคนท้อถอย บางคนอยู่คนเดียวเฉยๆก็ร้อง
เพราะเค้าเสียใจ แต่บางคนก็มักจะดูถูกคนที่ร้องให้ว่าเป็นคนอ่อนแอ


แต่นั่นคือความคิดของคนไร้ความรู้สึกและด้านชา เวลาเสียใจจนถึงที่สุดใครปลอบหรอ..0. อาจจะปลอบตัวเองก็ได้คนที่ร้องให้ไม่ใช่คนอ่อนแอ แต่เค้าคือคนที่ศรัทธากับความรู้สึก เวลาร้องจงร้องให้พอ


แต่อย่าให้ใครเห็นน้ำตา หาที่เงียบๆ และเย็นๆ ปล่อยน้ำตาออกมาซะ ให้มากที่สุด แล้วจากนั้นก็หยิบกระดาษขึ้นมา แล้วเขียนเหตุผลที่ร้องให้ลงไป เข้าข้างตัวเองให้มากที่สุด


แล้วยิ้ม จากนั้นเราจะรู้ว่า คนที่ปลอบใจเราเสมอเวลาร้องให้ คือตัวเราเอง ......

ขยันอย่างไร?...จึงจะประสบความสำเร็จ


ขยัน คือ การเอาภาระงานอย่างไม่นิ่งดูดาย ไม่ว่าจะกระทำให้แก่ตัวเองหรือผู้อื่นก็ตามแล้วก็กระทำอย่างสม่ำเสมอด้วยความอดทน ไม่เกียจคร้าน ไม่ย่อท้อ โดยประการใด ๆ ไม่รังเกียจต่องานประเภทนั้น ๆ ไม่ว่าจะได้รับประโยชน์มากหรือน้อยเพียงนิด แต่เป็นงานอาชีพที่สุจริตถูกกฎหมาย สังคมยอมรับ


ขยัน หมายถึง พฤติกรรมการกระทำการงาน หรือสิ่งอื่นใดก็ตามโดยการกระทำนั้นได้ทำอย่างสม่ำเสมอ ถูกต้องตามระเบียบ ไม่ผิดศีลธรรม ไม่ผิดกฎหมายบ้านเมือง เพราะหากขยันผิด ๆ แล้วย่อมก่อภัยตามมาภายหลัง อาจต้องเสียทรัพย์ เสียชื่อเสียง ติดคุกติดตาราง บาดเจ็บ ถึงแก่ชีวิตสังคมรอบด้านตราบาปไว้ ให้ทุกข์ทรมานในชาตินี้หรือชาติหน้าต่อๆไป ฯลฯ แต่หากขยันผิดทางโลกทางธรรม ก็มีแต่เสียเวลาของชีวิตอยู่เรื่อย ๆ ไป หลงวกวนแต่เรื่องเดิม ๆ เดินทางผิด หลงทางผิด เป้าหมายของชีวิตเปลี่ยนไป สูญสิ้นไปอย่างไร้ค่า



ความขยันที่สำคัญอีกอย่างก็คือ ต้องขยันอย่างรู้จักใช้สติ - ปัญญา ควบคู่กันไป เพราะแม้ขยันบากบั่นทุ่มโถมเต็มที่สักปานใดก็ตาม หากขยันอย่างโง่ ๆ ไม่ไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ก็จะประสบความล้มเหลวได้ จนบางคนถึงกับล้มละลายหมดเนื้อหมดตัวมาแล้วนักต่อนัก ดังนั้นการที่คนเราจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้อย่างดีผ่านพ้นอุปสรรคต่าง ๆ ไปได้นั้นไม่มีทุกข์ภัยหรือบาปกรรมใด ๆ ตามมาเบียดเบียนจะต้องมีองค์ประกอบของความขยันดังนี้


1. ขยันอย่างอดทนสม่ำเสมอ


2. ขยันในทางที่ดี ถูกต้อง สังคมยอมรับ ยกย่อง


3. ขยันอย่างมีสติปัญญา

ทำอย่างไร ให้หายขี้อาย?



เรื่อง "ขี้อาย" จึงไม่ใช่ความแปลกใหม่ของชีวิต แต่เป็นสิ่งที่ใครๆ มีติดตัวมาตั้งแต่เกิดมากกว่า ซึ่ง ข้อดี ของความขี้อายมันก็มีอ่ะนะ เช่น ทำให้เป็นคนสุภาพเรียบร้อย และทำให้เป็นคนมีมารยาททางสังคม แต่ ข้อเสีย ของการเป็นคนขี้อายก็มีเยอะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเผื่อคุณอยากรู้จักมักจี่ หรือสนิทสนมผสมรักกับใครสักคนขึ้นมา แต่ไม่กล้าแสดงออกให้เค้ารู้ หรือไม่กล้าเข้าไปทักทายโอภาปราศรัยก่อน ก็ทำให้คุณเสียโอกาสที่จะคว้าใครสักคนมาเป็นแฟน... จริงไหมล่ะ ยิ่งเป็นวัยรุ่นด้วยแล้ว ปัญหาที่พบมากและพบบ่อยที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้น การไม่กล้าเปิดเผยความในใจให้ "คนที่ตัวเองนึกชอบ" ล่วงรู้ความในใจน่ะสิว่า คุณรู้สึกอย่างไรกะเค้า เพราะชอบก็ไม่กล้าบอกว่าชอบ หรือหลงรักเค้าอยู่...โอ๊ะ เรื่องนี้ ยิ่งไม่กล้าพูด นี่ไม่ใช่แค่อายนะแต่กลัวเค้าไม่รับรัก ก็จะยุ่งอีนุงตุงนัง ทำให้เสียหน้า, เสียฟอร์ม และเสียความมั่นใจในตัวเอง ยิ่งเตลิดเปิดเปิงไปใหญ่น่ะซี เพราะฉะนั้น มาหาวิธีขจัดความขี้อาย กันเถอะ ว่าแต่...อย่าถึงกับทำให้ความรู้สึกนี้หมดไปซะเลยล่ะ ขอให้เหลือไว้บ้าง ย่อมดีกว่าไม่มีเลยนะจ๊ะ ส่วนจะลดความขี้อายไงดีนะเหรอ ก็ทำแบบนี้ไง...เช่น




1. ถามตัวเองซะก่อนว่า เรานั้นขี้อายตรงไหน แล้วแก้ให้ถูกจุด แบบอายเพราะไม่กล้าสบตาคนอื่น อายเพราะไม่กล้าเดินเข้าไปทักคนอื่นก่อน อายเพราะไม่กล้ายิ้มให้ใคร เพราะกลัวส่งยิ้มแล้วเค้าไม่ยิ้มตอบก็หน้าแตก ถ้ารู้ตัวเองว่าคุณไม่กล้าทำอะไร เห็นทีต้องใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่งซะแล้วสิ อย่างถ้าอยากรู้จักใคร ก็ไม่ต้องอ้ำอึ้งทำเป็นไม่กล้าพูดไม่กล้าเข้าไปคุย แต่ควรเดินเข้าไปคุยกับเค้าเลยจ๊ะ ด้วยการแนะนำตัวคุณก่อนก็ดีว่าชื่ออะไร? แล้วค่อยถามเค้ากลับ เรื่องแค่นี้ไม่ควรจะเขินนานนะ การผูกมิตรน่ะง่ายกว่าการสร้างศัตรูซะอีก




2. ฝึกด้วยการเป็นแม่สื่อหรือพ่อสื่อให้ เพื่อนดูก่อนก็ได้ บางคนไม่กล้าไปเสวนาหรือเดินเข้าไปขายขนมจีบใครก่อนหรอก แต่ถ้าให้ช่วยเหลือเพื่อนเพื่อจีบใครล่ะก็ แหมถนัดนักล่ะ งั้นลองสวมบทบาทเป็นแม่สื่อ (หรือพ่อสื่อ) จับคู่เพื่อนที่มีใจให้กัน ให้ได้สักคู่นึงก่อน ด้วยการสังเกตว่า มีเพื่อนคนไหนบ้างที่ "ส่งใจไปหากัน" แต่ทั้งคู่กลับไม่เคยแสดงออกในเรื่องนี้ให้รับรู้กันเลย อ่ะ งั้น...ฟ้าคงส่งให้เป็นหน้าที่ของคุณซะแล้ว ที่จะช่วยให้พวกเค้าสมหวังกันสักที ทำแล้วได้บุญด้วยนะ ไม่เชื่อลองส่งเสริมรักให้เพื่อนซี้ ดูก่อนก็ได้ แล้วจะรู้สึกดีจริงๆ จ้า




3. ถ้าไม่มั่นใจในตัวเอง เห็นทีต้องฝึกท่องในใจซะแล้วว่า คุณทำได้สบายมาก ความขี้อายมักเกิดมาจากความไม่มั่นใจในตัวเอง เช่น ไม่มั่นใจว่าถ้าแสดงพฤติกรรมอย่างงั้นอย่างงี้ออกมาแล้ว คนอื่นจะคิดยังไง? หากเป็นเช่นนี้ คุณควรลดความกลัว ที่ว่าคนอื่นจะคิดกับคุณอย่างไรออกไปบ้าง แล้วมุ่งเน้นความสนใจไปที่ความรู้สึกของคนที่คุณชอบเค้าก็พอ เพราะถ้าขืนคิดถึงคนอื่นมากไป โอกาสที่คุณจะทำอะไรเพื่อตัวเองก็มีน้อยลงเท่านั้น ดังนั้น ลองท่องประโยคที่ว่า คุณทำ...(อะไรก็ได้ที่อยากทำและเชื่อว่าทำแล้วคนที่คุณชอบจะชอบด้วย) ก็ทำเลย ไม่ต้องกระมิดกระเมี้ยนเก็บอาการอีกต่อไปแล้ว อย่าลืมสิว่า คุณทำได้!




4. อย่าคิดมาก ถ้าอยากเอาชนะใจคนที่คุณเหล่ไว้ละก็ อย่าตีโพยตีพายคิดมากและคิดเองเออเองขึ้นมาก่อนเชียวว่า สงสัยคุณคงไม่กล้าไปพูดหรือเข้าไปเจรจากะเค้าแหงเลย เพราะถ้าคิดไปก่อนแบบนี้ ไอ้ที่ไม่กล้า ก็ยิ่งไม่กล้าอยู่นั่น ทางที่ดีอย่าคิดอะไรไปในทางร้ายๆ ก่อนแค่นี้พอ แล้วเดี๋ยวความกล้าก็มาเอง




5. หากิจกรรมส่งเสริมความกล้าทำมั่ง เช่น กล้าที่จะไปเสนอรายงานหน้าชั้นเรียน, กล้าที่จะคุยกับคนแปลกหน้าที่ไม่ใช่เพื่อน, กล้าที่จะทำกิจกรรมของโรงเรียนหรือที่ทำงาน และอื่นๆ อีกเยอะแยะ ที่ช่วยฝึกฝนส่งเสริมให้เกิดความกล้าได้ ดังนั้นจึงอยากชวนให้ลองทำตามตัวอย่างที่ยกมาให้สักอย่าง เชื่อดิ่เดี๋ยวอาการขี้อายของคุณก็จะลดดีกรีลงไปเอง ในขณะที่ความกล้าจะเข้ามาแทนที่ เอ้า...เริ่มกล้าส่งตาหวานไปให้คนที่คุณชอบรึยังเอ่ย?




6. อย่ารุกหนักเกินไป จริงอยู่ที่ใครหากมีความมั่นใจในตัวเอง รับรองเป็นสิ่งที่เลอเลิศประเสริฐศรีดีแน่นอน แต่ความมั่นใจในตัวเองควรอยู่ในระดับพอดิบพอดี (ทางสายกลาง) ไม่น้อยไปและไม่มากจนเว่อร์เหมือนนักร้องบางคนละกันนะ เพราะเวลาที่คุณอยากไปตีซี้กะ "คนที่หมายปอง" ควรค่อยๆ เดินหน้าเข้าหานะคะ ไม่ใช่บุ่มบ่ามส่งสายตาหื่นกระหายไปให้เค้า โอ้ยขืนเป็นอย่างนี้แล้วใครที่ไหนจะอยากคบด้วยล่ะ ไม่โดนคนที่คุณส่งสายตาแทะโลมตบสักเปรี้ยงก็ดีแค่ไหนแล้ว หัดเข้าหาเค้าอย่างสุภาพดีกว่าน่า



7. อย่ากลัวถูกปฏิเสธ หากเป็นนักกีฬา คุณก็คงทำใจไว้ก่อนใช่ไหมว่า โอกาสที่คุณจะชนะหรือแพ้มีเท่าๆ กัน 50-50 ซึ่งก็เหมือนในเกมส์ของความรัก คุณคงไม่เข้าข้างตัวเองว่าคุณจะพิชิตใจ "คนที่หมายปอง" ไปซะทุกคนได้หรอกจริงมั้ย ฉะนั้นถ้ากล้าที่จะเผชิญหน้ากับความรักแล้วละก็ จงระลึกเสมอว่าการที่คุณจะฉอเลาะเข้าไปจีบใครสักคน ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่วิเศษแล้ว แม้ผลลัพธ์ที่ตามมา เค้าจะรับรักคุณหรือไม่ อย่าไปหวั่นใจตรงนี้ให้มาก ถือว่าคุณได้ลองจีบเค้าอย่างดีที่สุดแล้วก็พอ อีกหน่อยอาการมือไม้สั่น ใจเต้นแรง และพูดตะกุกตะกักก็จะหายไปได้เอง ไม่เชื่อก็ลองดูซิคะ


จาก mcot

♣ เพียงเปิดใจ ♣


"...ถ้าไม่อยากถูกไฟลวกก็อย่าเล่นกับไฟ


ไม่อยากจมน้ำก็อย่าลงน้ำ


ไม่อยากเจ็บก็อย่ารู้สึก


ไม่อยากตายเพราะรักก็อย่ารัก


ถ้าไม่อยากสูญเสียคนรอบข้างก็อย่าแสดงอารมณ์


ไม่อยากร้องไห้พรุ่งนี้ วันนี้อย่าหัวเราะ..."


หลายคน คงเคยได้ยินหรือ ไม่ได้ยิน ประโยคนี้หากเราคิดที่จะรักใครสักคนแล้วบางครั้งเราก็ไม่ได้ดูหรือเห็นถึงส่วนที่เลวร้ายของเขาคนนั้นมันเป็นความจริงที่หลายคนต้องยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นมีคนบางคนไม่กล้าที่จะรักใครสักคนเพียงเพราะว่าขลาดกลัวกับความรักกลัวความจริงที่วันหนึ่งเราและเขาไม่ได้อยู่เคียงข้างกันนั่นแหละคือความคิดที่ผิดมหันต์ เพราะว่าเธอได้ปิดกั้นความรู้สึกและตัวของเธอเองความกลัวเปนเหมือนเกราะที่ทำให้ใครหลายคนไม่กล้าที่จะรักใครได้หากเพียงแค่เราเปิดใจรับใครสักคนเข้ามาเพียงครั้งเดียวก้อทำให้เราได้รู้ว่าโลกที่สดใสเป็นเช่นไรไม่ใช่คิดกลัวกับเรื่องของอนาคตที่มันกำลังจะเกิดขึ้นเพราะการที่เรากลัวมัน ก้ออย่าเลยที่คุณจะมีความสุขได้หากคุณยังกลัวเหมือนกับข้อความข้างบนแล้วคุณจะไม่รู้จักกับคำว่ารักเลยเปิดใจที่รับใครสักคนศึกษาดูใจกันเพราะวันหนึ่งคุณจากล้าพูดได้เลยว่าความรักทำให้อะไรบนโลกนี้น่าอยู่มากกว่าเดิม.......

เบื้องหลังความรัก ....



ความรักที่สมหวัง... ของใครบางคน

อาจเป็นความรัก... ที่ผิดหวังของใครอีกคนความรักร้อนแรง...

มักแฝงไปด้วยความพิศวาส

ความรักที่แท้จริง คือการที่เราได้เห็นคนที่เรารัก...มีความสุข...

โดยไม่หวังผลตอบแทนเรามักจะมองข้ามความรัก...

ที่บริสุทธิ์ใจและแท้จริง...

จากบุพการี ถ้าเรามองความรัก...

เป็นสิ่งที่มีค่า เราคงไม่เห็นใคร...


ที่เสียใจเพราะความรักเลย"เธอดีเกินไป"

เป็นเหตุผล ของคนที่เห็นแก่ตัว

อย่าพูดว่า... รักใครพร่ำเพรื่อ

เพราะมันจะดูว่า... ความรักของคุณนั้นไม่มีค่าเอาซะเลยเวลา


จะช่วยวัดว่า คนๆนั้น

มีพฤติกรรมที่เรียกว่า... นิสัย หรือ สันดาน

อย่าจมปรักกับอดีตที่เลวร้าย

แต่จงยืดอกรับ... สิ่งที่จะเกิดในอนาคตรักไม่เคยทำร้ายใคร...

แต่คนที่รักไม่เป็นต่างหากที่ทำร้ายมัน


จาก DIY

เหนื่อยบ้างหรือเปล่า…หัวใจ


เหนื่อยบ้างหรือเปล่า…หัวใจ


เหนื่อยบ้างหรือเปล่า…..


ทั้งที่เรื่องราวมันจบไปตั้งนานแล้ว แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม


ไม่ยอมรับความจริงที่ว่าเค้าได้จากไปแล้ว…


เหมือนยังมีความหวังว่าเค้าจะกลับมา


ใช้ชีวิตอย่างรอคอย..เหมือนคนที่ไม่อยากรับรู้ความจริงที่ต้องโดดเดี่ยว


บางครั้งไม่อยากจะตื่นขึ้นมาให้เวลามันทำร้ายหัวใจ


อยากจะอยู่ในโลกแห่งจินตนาการที่สร้างขึ้นมาเอง


ไม่ต้องการรับรู้ปัญหาของใครๆ


เหมือนกับว่าโลกใบนี้ช่างว่างเปล่า…


ความฝันที่เคยวาดด้วยกัน มันพังทลายจนไม่เหลือซาก


ความทรงจำดีๆ ที่เหลืออยู่ช่วยต่อลมหายใจ ให้มีชีวิตอยู่


ให้ได้รู้สึกทรมาน เหมือนอย่างทุกวันนี้


และก็คิดว่า นี่คือที่สุดของความเจ็บปวดแล้ว
……………………………………………………………………..

หากยังจมปลักอยู่กับความทุกระทมแบบนี้


หากยังฝังตัวเองให้ติดอยู่กับเรื่องในอดีต


ก็จะไม่มีวันได้รู้ว่าโลกใบนี้ ยังมีเรื่องราวที่ทำให้ยิ้มได้อย่างเต็มที่


หัวเราะได้อย่างเต็มเสียง และมีความสุขไปกับทุกวินาทีที่โลกหมุน


การกักขังตัวเองไว้กับเรื่องในอดีตที่เลวร้ายมีแต่จะทำให้หัวใจอ่อนแอลง


ถึงจะพยายามทำตัวเองให้ดูแข็งแกร่งขนาดไหน ก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าข้างในมันแทบจะแตกสลาย


อย่ารอให้ถึงวันนั้น วันที่หัวใจไม่เหลือชิ้นดี


กลับมาสนใจตัวเอง ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ก้าวให้ทันความคิดของตัวเอง


อยู่กับความจริง แม้ว่าจะต้องเดียวดาย


คิดไว้เสมอว่า เวลา มีค่า และจะต้องใช้มันให้คุ้มค่าที่สุดการมีชีวิตอยู่เป็นโอกาสที่จะได้เรียนรู้และท่องโลกกว้างใบนี้


เรื่องในอดีตที่เจ็บปวด เป็นเพียงบทหนึ่งใน ไดอารี่แห่งการมีชีวิต


ให้ทุกก้าวที่ก้าวเดินเป็นการเรียนรู้เรื่องๆใหม่ๆ


ใช้ชีวิตที่เป็นของตัวเอง ด้วยหัวใจของตัวเอง


เวลา มันไม่เคยหยุดรอใคร มีแต่จะเดินไปเรื่อยๆ


ชีวิต จะมีคุณค่าถ้าได้ใช้เวลาทุกวินาทีอย่างมีความสุข

ยางลบ..กับการแก้ไขสิ่งผิดพลาด >>


สมัยเด็กๆ ครูสอนศิลปะท่านหนึ่งสอนฉันเสมอว่าเวลาเราใช้ดินสอวาดภาพ เราห้ามใช้ยางลบ ตอนนั้นฉันไม่เข้าใจจุดประสงค์ของครูสักท่าไหร่ รู้แต่เพียงว่าเวลาฉันวาดภาพแล้วเส้นมันบิดเบี้ยว ฉันก็อยากจะให้มันตรงสวย แต่ทุกครั้งที่ฉันหยิบยางลบขึ้นมาเพื่อจะลบภาพนั้น ครูของฉันก็จะเตือนถึงกติกานั้นเสมอ สุดท้ายฉันจึงเลือกใช้วิธีต่อเติมภาพๆนั้นไปตามจินตนาการ เช่นถ้าฉันตั่งใจวาดรูปหน้าคน แต่ฉันอาจเผลอวาดตากลมโตเกินไป ฉันก็จะใช้วิธีเปลี่ยนตากลมๆ นั้นเป็นแว่นตาแทน แม้นตอนนั้นฉันยังไม่เข้าใจว่า ทำไมฉันจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ยางลบ และแม้นฉันจะไม่เคยคิดวาดรูป หน้าคนใส่แว่นมาก่อน แต่ฉันก็ได้รูปหน้าคนตามที่ต้องการ แถมยังภูมิใจ ว่าสามารถวาดภาพๆนั้นด้วยความมั่นใจ และไม่ต้องใช้ยางลบลบภาพเลยสักครั้ง เวลาผ่านไป ฉันโตขึ้น ฉันเรียนรู้ว่า สิ่งที่ครูสอนวันนั้น แท้จริงแล้วมันปลูกฝังนิสัยหนึ่งให้กับฉัน นั่นคือ การเข้าใจธรรมชาติของความผิดพลาด ความผิดพลาดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตของทุกคน และในชีวิตหนึ่งก็มีหลายครั้งที่ฉันได้พบมันโดยไม่ตั่งใจ สิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันยอมรับความผิดพลาดเหล่านั้น และรวบรวมสติเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ ก็คือ การที่ฉันเข้าใจว่า ธรรมชาติของความผิดพลาด คือ การที่มันเกิดขึ้นแล้ว จะคงอยู่ถาวร ฉันไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ยางลบ ลบความผิดพลาด


แต่ฉันจำเป็นต้องใช้สมองต่อเติมแก้ไขภาพวาดของฉันให้สมบูรณ์ด้วยตัวเอง ดังนั้นถ้าความผิดพลาดมันเกิดขึ้นกับเราแล้ว การที่เราจะมานั่งร้องห่มร้องไห้ อ้อนวอนขอแหกกฎเพื่อใช้ยางลบกลับไปแก้ไขมันนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ สิ่งเดียวที่จะทำได้ ก็คือ รู้จักพลิกแพลงแก้ไขสิ่งเหล่านั้นด้วยสติ และวาดภาพของตัวเองต่อไปด้วยความระแวดระวังมากยิ่งขึ้น ทุกคนมีดินสอหนึ่งแท่งเพื่อที่จะวาดภาพชีวิตของเราให้สวยงาม แต่เราไม่มียางลบสักก้อนที่จะเอาไปลบสิ่งที่เราทำผิดพลาดมาแล้วได้ ดังนั้นเราต้องตั่งใจ และมีสติทุกครั้งที่ลากเส้น ถึงแม้นภาพที่เราวาดออกมาจะไม่เหมือนกับภาพที่เราฝันไว้สักเท่าไหร่ แต่มันก็ออกมาจากมือของเรา เราควรจะภูมิใจกับมันได้เสมอ ไม่ต้องกลัวหรอก แม้จะรู้ดีว่าสักวันหนึ่งเราอาจลากเส้นบิดเบี้ยวไปบ้าง เพราะถึงอย่างไร ฉันยังเชื่อว่า ถ้าสมองและหัวใจของเราทำงานอย่างเต็มที่ ภาพชีวิตเราก็งดงามได้โดยไม่ต้องใช้ยางลบ

เตื่อนภัย : หญิงมีครรภ์ใช้เครื่องสำอาง



ในช่วงที่กำลังตั้งครรภ์ ผู้ที่กำลังจะเป็นแม่ควรระแวดระวังเรื่องการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมสวย เนื่องจากอาจเป็นอันตรายต่อลูกได้


สารเคมีที่นักวิชาการกำลังเป็นกังวลกันคือ “พาราเบนส์” ที่ใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมสวยทั่วไป และ “ฟธาเลตส์” ซึ่งใช้มากในสเปรย์ฉีดผม


จากการศึกษาของ ศ.พอล เอลเลียต จากอิมพีเรียลคอลเลจ ประเทศอังกฤษ พบว่า หญิงตั้งครรภ์ที่ใช้สเปรย์ฉีดผมมาก มีโอกาสที่ลูกจะป่วยเป็นโรค “ไฮโพสปาเดียส (Hypospadias)” สูงถึง 2 เท่าตัว ซึ่งโรคนี้ทำให้ท่อปัสสาวะที่องคชาติมีลักษณะผิดปกติ


ส่วนระดับ “ฟธาเลตส์” สูง อาจส่งผลกระทบต่อระดับของฮอร์โมน หลังจากที่มีการศึกษาชิ้นหนึ่ง พบพาราเบนส์จากยากำจัดกลิ่นรักแร้ในเนื้อเยื่อของผู้ป่วยโรคมะเร็งทรวงอก สำหรับ “ฟธาเลตส์” นั้นยังพบมากในพลาสติกประเภทพีวีซีด้วย


ด้าน ศ.สตีฟ ฟีลด์ ประธานรอยัลคอลเลจ มีความเห็นว่า “สตรีที่วางแผนตั้งครรภ์หรือกำลังตั้งครรภ์ ควรระมัดระวังผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ใช้ นอกจากนี้ อุตสาหกรรมผลิตเครื่องสำอางค์ ควรใส่ใจด้วยการติดป้ายเตือนอันตรายจากการใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตาม เราไม่ควรตระหนกในเรื่องนี้จนเกินไป”


ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสด

ทำไม ร้านขายรองเท้าไม่ร้อยเชือกผูกรองเท้าไว้ก่อน


เหตุผลที่ร้านขายรองเท้าไม่ร้อยเชือกผูกรองเท้าไว้ก่อน น่าจะเป็นเพราะ
ประการแรก การร้อยเชือกผูกรองเท้าต้องใช้แรงงานคนจำนวนมากไม่สามารถทำได้ด้วยเครื่องจักรถ้าร้านรองเท้าต้องร้อยเชือกรองเท้าทุกคู่ไว้ล่วงหน้าจะเป็นการเพิ่มต้นทุนอย่างมหาศาล


ประการที่ ๒ ลูกค้าแต่ละคนมีเทคนิคในการร้อยเชือกรองเท้าแตกต่างกันไป ด้วยเหตุนี้ผู้ผลิตจึงไม่จำเป็นต้องร้อยเชือกไว้ก่อน เพื่อให้ผู้ซื้อได้เลือก "สไตล์" การร้อยเชือกรองเท้าของตนเองได้ตามต้องการประการ


ที่ ๓ ลูกค้าจะลองสวมรองเท้าได้สะดวกง่ายดายขึ้นมาก เมื่อรองเท้าไม่ได้ร้อยเชือกไว้ก่อน มีลูกค้าบางคนด่วนสรุปว่าถ้ารองเท้าสวมได้ยากแล้วละก็แสดงว่าขนาดของมันเล็กเกินไป


ประการสุดท้าย เป็นเหตุผลเชิงจิตวิทยารองเท้าที่ไม่ได้ร้อยเชือกผูกไว้จะให้ความรู้สึก "ใหม่แกะกล่อง" แก่ผู้ซื้อมีข้อมูลสนับสนุนเหตุผลนี้ จากเจ้าของร้านขายรองเท้ากีฬาซึ่งยืนยันว่าลูกค้าจำนวนหนึ่ง ไม่ยอมซื้อรองเท้าที่ร้อยเชือกไว้แล้วโดยเด็ดขาดเพราะไม่มั่นใจว่ามีลูกค้ากี่รายแล้ว ที่ลองสวมรองเท้าคู่นี้ก่อนหน้าตน